ภูมิปัญญา..ทำนาครบวงจร
แปรรูปเป็นหมี่จักราช
คุณเชาวลิต พระชนะ บุรุษพยาบาล รพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบลสีสุก
อ.จักราช จ.นครราชสีมา เล่าให้ฟังว่า “การทำเกษตรเชิงเดี่ยวต่อให้ขยันแค่ไหนก็ไม่มีเงินเก็บ
แค่พอกินพอใช้จ่าย ถึงภาครัฐจะรณรงค์ยังไง ชาวบ้านยังคงทำเกษตรแบบล้าหลัง ปลูกพืชผักมีคุณภาพ
หนีไม่พ้นถูกพ่อค้าคนกลางกำหนดราคารับซื้อ เห็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กๆ เลยคิดอยากจะเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้กำหนดราคาบ้าง”
ในปี 2549 คุณเชาวลิตได้มีโอกาสไปดูงานด้านการเกษตรในวังสวนจิตรลดา
และในแต่ละย่างก้าวคิดตลอดว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน
พระองค์ท่านยังมีสวนเกษตรอยู่ในบ้านมากมายหลายอย่าง ทั้งแปลงนา เกษตรผสมผสาน เลี้ยงสัตว์
เห็นแล้วจึงอยากทำตามอย่างบ้าง หลังจากกลับมาจากการดูงานในครั้งนั้น จึงได้กลับมาเอ่ยปากชวนพ่อแม่ให้เปลี่ยนมาทำเกษตรผสมผสาน แต่ก็ไม่ได้ผล ต้องหยุดพักไป 2 ปี จนเรียนจบรับราชการเป็นบุรุษพยาบาล แต่ถึงกระนั้น ก็ยังไม่ทิ้งฝันในอดีต โดยได้ขอที่ดิน 2 ไร่จากพ่อทำสวนเกษตรผสมผสานอย่างที่ตั้งใจไว้
สวนเกษตรผสมผสานแปลงแรกได้ผล จึงขอพื้นที่จากพ่อเพิ่มเป็น
7 ไร่ นอกจากพ่อจะไม่ปฏิเสธยังเข้ามาช่วยดูแล ครั้งนี้ คุณเชาวลิต เข้าร่วมโครงการทายาทเกษตรกรมืออาชีพ
ธ.ก.ส. ไปดูการทำปุ๋ย ปลูกผักปลอดสารพิษ หลังจากกลับมาก็ได้แบ่งพื้นที่ปลูกป่า
ปลูกดอกขจร ปลูกครั้งเดียวเก็บดอกขายได้นาน 4 ปี ช่วงฤดูฝนจะชำต้นขาย
รายได้ดีกว่าเก็บดอกอีกด้วย
นอกจากนี้
คุณเชาวลิต
ยังได้เล่าเพิ่มเติมอีกด้วยว่า “เมื่อก่อนปลูกข้าวหอมมะลิ แต่ระยะหลังราคาเริ่มถูกลงเรื่อยๆ หากยังทำเหมือนเดิมคงไม่ต่างอะไรกับลูกจ้างโรงสี
เพราะหักต้นทุน ค่าแรง การจัดการแทบไม่เหลืออะไร ครั้นจะเลิกทำนาต้องไปซื้อข้าวคนอื่นกิน
ในเมื่อยังไงต้องปลูกข้าวไว้กินเอง เลยมาคิดใหม่ต้องทำนาในแบบครบวงจร ปลูกเอง แปรรูปเอง
ขายเอง ไม่ใช่ขายเป็นข้าวเปลือกให้โรงสี”
ด้วยแนวคิดนี้ เชาวลิต พระชนะ เกษตรกรควบตำแหน่งบุรุษพยาบาล
รพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบลสีสุก อ.จักราช จ.นครราชสีมา
จึงค้นหาวิธีปลูกข้าวแบบครบวงจร และยังจำได้ว่าสมัยคุณแม่ยังสาว
ที่บ้านทำหมี่จักราชขาย
แต่เดี๋ยวนี้หากินได้ยาก เพราะส่วนใหญ่จะใช้เส้นก๋วยเตี๋ยวรสชาติความหอมไม่เหมือนหมี่จักราชแท้ๆ
ที่ทำมาจากข้าวพันธุ์เหลืองประทิว ภูมิปัญญาแปรรูปในครอบครัวมีพร้อม ตัดสินใจปลูกข้าวเหลืองประทิวแทนหอมมะลิ
“เราปลูกข้าวไว้กินเอง เลยทำนาแบบปลอดพิษ เอาต้นขี้เหล็ก ไม้โตไวมาปลูกบริเวณรอบนอกไว้เป็นแนวป้องกันละอองสารเคมีจากนาเพื่อนบ้านที่อาจถูกลมพัดเข้ามาแถวด้านในถัดมาลงหญ้าแฝกไว้คอยดูดซับสารเคมีจากที่อื่นๆที่ไหลเข้ามาในนา”
ส่วนการทำเส้นหมี่จักราช เชาวลิต บอกว่า หลังนำข้าวเปลือกไปสีเป็นข้าวสารนำมาแช่น้ำ
4 ชม. เอามาล้างด้วยน้ำเปล่า 5 ครั้ง เพื่อกำจัดกลิ่นอับ
จากนั้นนำไปโม่น้ำให้เป็นแป้งเหลวๆ แล้วนำมาละเลงให้เป็นแผ่นบางๆแบบเดียวกับทำขนมปากหม้อ
ได้เป็นแผ่นนำวางบนแผงไม้ไผ่ผึ่งแดดให้หมาดๆ
ข้าวสารเหลืองประทิว 10 กก. ราคา 200 บาท แปรรูปเป็นหมี่จักราชได้ 500 มัด มัดละ 5 บาท รวมแล้ว 2,500 บาท ดีกว่าปลูกข้าวหอมมะลิขายเป็นข้าวเปลือกที่ได้แค่
กก.ละ 8 บาท ในขณะที่ข้าวเปลือกเหลืองประทิว 1 กก. แปรรูปเป็นหมี่จักราชขายได้ 125 บาท เพิ่มมูลค่าได้ถึง 15 เท่าเลยทีเดียว
ในที่สุดผลจากการเดินตามรอยพ่อ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของคุณเชาวลิต จึงส่งผลให้ทุกวันนี้ “ครอบครัวพระชนะ” มีรายได้เดือนละไม่น้อยกว่า 50,000 บาท ซึ่งเท่ากับรายได้ที่เคยปลูกอ้อยกับมันฯตลอดทั้งปีเสียอีก
นายเชาวลิต
พระชนะ
2
ม.3 ต.สีสุก อ.จักราช จ.นครราชสีมา
โทรศัพท์
099
– 861- 6984
เฟสบุค
:
ไร่วลิต ฟาร์ม
ที่มาข้อมูล:
เพ็ญพิชชา เตียว
******************************************
ติดตามข้อมูล SME
เกษตร ธ.ก.ส. เพิ่มเติมได้ที่
เฟสบุคแฟนเพจ “SMAEs CLUB” URL: https://m.facebook.com/smaesbaac/
เว็บไซต์ URL:
https://smaesclub.com/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น