วิสาหกิจชุมชนบ้านหาดไก่ต้อย ตำบลหาดล้า อำเภอท่าปลา
จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นกลุ่มที่ได้ผลิตเม็ดมะม่วงหิมพานต์มาจำหน่าย ข้อมูลตำบลหาดล้า
ซึ่งเดิมเป็นตำบลที่ตั้งอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำน่าน อยู่ทางทิศเหนือของที่ว่าการอำเภอท่าปลา
(เดิม) เมื่อ พ.ศ. 2512 ทางราชการได้ก่อสร้างเขื่อนสิริกิติ์
กั้นแม่น้ำน่าน ทำให้น้ำเอ่อล้นท่วมครอบคลุมพื้นที่ของตำบลหาดล้า ราษฎรได้พากันอพยพหนีน้ำมาสู่ที่อยู่ใหม่
โดยทางนิคมลำน้ำน่าน จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นผู้จัดสรรพื้นที่ทำกิน โดยจับสลาก ครอบครัวละ
15 ไร่ ปัจจุบัน ตำบลหาดล้า จึงประกอบไปด้วยประชาชนหลากหลายหมู่บ้าน
หลายตำบลของอำเภอท่าปลาที่โยกย้ายมาอยู่รวมกันเป็นผังๆ รวมกันเป็นตำบลหาดล้า
ปัจจุบัน ตำบลหาดล้า เป็นตำบลหนึ่งของอำเภอท่าปลา มีเนื้อที่ทั้งหมด
56.964 ตารางกิโลเมตร จำนวนราษฎร 5,317 คน 1,168 ครัวเรือน เมื่อเดินทางถึงบ้านหาดไก่ต้อย ตำบลหาดล้า อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์
ซึ่งได้มีที่รวมตัวกันปลูกและแปรรูปเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ที่สำคัญแห่งหนึ่งทางแถบภาคเหนือ
มีคุณภาพ และปริมาณผลผลิตต่อปีไม่แพ้ทางภาคใต้และภาคตะวันออก เป็นแหล่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงในการปลูกและแปรรูปมะม่วงหิมพานต์ในระดับประเทศทีเดียว
บ้านหาดไก่ต้อย อยู่ทางทิศใต้ของอำเภอท่าปลา ประมาณ 5 กิโลเมตร
ใช้เวลาในการเดินทางด้วยรถยนต์ประมาณ 20 นาที
ลักษณะภูมิประเทศของตำบลนี้ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่สูง
มีคลองสิงห์ไหลผ่านใช้ประโยชน์ได้น้อย ชุมชนส่วนมากของบ้านหาดไก่ต้อย มีรายได้จากการแปรรูปมะม่วงหิมพานต์ดีมาก
เช่น รับจ้างขูดหรือลอกเยื่อเมล็ดมะม่วง บ้างก็รับจ้างแกะเปลือก บางส่วนก็แปรรูป และยังมีอีกเป็นจำนวนมากที่รับงานไปทำที่บ้าน
ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ในตำบลหาดล้า ปลูกมะม่วงหิมพานต์เป็นอาชีพหลัก แปรรูปเองและจำหน่ายต้นพันธุ์อีกด้วย
พันธุ์ที่ปลูกส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ศรีสะเกษ 60-1 และพันธุ์ศรีสะเกษ
60-2
เนื่องจาก มะม่วงหิมพานต์ เป็นพืชที่ลงทุนต่ำ ทนแล้ง
ปลูกง่าย เจริญเติบโตเร็ว ขึ้นได้ดีในดินแทบทุกชนิด ผลผลิตยังไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ
โดยมีการส่งออกต่างประเทศ คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 117 ล้านบาท ในปี 2547 มีพื้นที่ปลูกทั่วประเทศ ประมาณ 180,000 ไร่ เป็นพื้นที่ให้ผลผลิตแล้ว ประมาณ 150,000 ไร่ ผลผลิตประมาณ
40,000 ตัน จังหวัดที่เป็นแหล่งปลูกที่สำคัญ คือ ระนอง ชลบุรี
อุบลราชธานี พังงา ปัตตานี และระยอง ผลผลิตสามารถเก็บไว้ได้นานไม่เน่าเสียง่ายเหมือนผลไม้ทั่วไป
มะม่วงหิมพานต์นั้นเดิมทีเป็นไม้ผลพื้นเมืองของอเมริกาใต้
มีปลูกกันทั่วไปตั้งแต่เม็กซิโกจนถึงเปรู ต่อมาได้ขยายพันธุ์ออกไปอย่างกว้างขวางในทวีปแอฟริกา
อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ตามหมู่เกาะต่างๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก ตลอดจนถึงทวีปเอเชีย ประเทศที่นับได้ว่าเป็นผู้ส่งออกผลิตผลจากมะม่วงหิมพานต์รายใหญ่ของโลก
ได้แก่ อินเดีย โมซัมบิก แทนซาเนีย บราซิล เป็นต้น
สำหรับประเทศไทย มะม่วงหิมพานต์ได้ปลูกกระจายไปทั่วประเทศ
แต่ปลูกมากทางภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก โดยเฉพาะที่จังหวัดตราดและจังหวัดอุตรดิตถ์
ก็ได้มีการนำมะม่วง หิมพานต์มอบให้เกษตรกรในพื้นที่นิคมสร้างตนเองลำน้ำน่าน
ที่อพยพจากที่ทำกินเดิม ที่ถูกน้ำท่วมจากการสร้างเขื่อนสิริกิต์ เพื่อปลูกขยายพันธุ์เช่นกัน
มะม่วงหิมพานต์เป็นไม้ผลยืนต้น ตระกูลเดียวกับมะม่วง มีขึ้นอยู่ทั่วไปในประเทศที่มีอากาศร้อนและฝนตกชุก
ผลมีลักษณะแปลกประหลาด คือ มีเมล็ดที่มีรูปร่างเหมือนไตติดอยู่ตรงปลายสุด ถ้าผ่าเมล็ดออกเปลือกเมล็ดจะหนาราว
2-3 มิลลิเมตร เมล็ดในมีสีขาวนวลประกบกัน 2 ซีก เปลือกหุ้มเมล็ดมียางสีน้ำตาลอ่อน
มีลักษณะเป็นกรด ถ้าถูกผิวหนังจะทำให้พองเป็นแผลเปื่อย
รวมกลุ่มพัฒนา
กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านหาดไก่ต้อย ตำบลหาดล้า อำเภอท่าปลา
จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นกลุ่มที่รวมตัวกันปลูกและแปรรูปเมล็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นส่วนใหญ่
และมีรายได้จากการแปรรูปที่ดีมาก มีการรวมตัวกันจัดตั้งเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชน รับซื้อและคัดเลือกเมล็ดมะม่วง
โดยมี คุณวันทรา ผ่านคำ เป็นประธานกลุ่ม โดยมีสำนักงานเกษตรอำเภอท่าปลา เขื่อนสิริกิติ์
และอีกหลายหน่วยงานให้การสนับสนุนด้านวิชาการและงบประมาณในการจัดหาอุปกรณ์และโรงเรือนเก็บผลผลิต
ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านหาดไก่ต้อย เล่าให้ฟังว่า เดิมทีครอบครัว คุณพ่อสำรวย
ขำทอง และ คุณแม่ลำดวน ขำทอง ได้ปลูกพืชและทำไร่หาปลาอยู่บริเวณใกล้เคียงที่เป็นเขื่อนสิริกิติ์ในปัจจุบัน
ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของที่ว่าการอำเภอท่าปลา (เดิม) และเมื่อปี พ.ศ. 2512 ทางราชการได้ก่อสร้างเขื่อนสิริกิติ์กั้นแม่น้ำน่าน ทำให้น้ำเอ่อล้นท่วมครอบคลุมพื้นที่ของตำบลหาดล้า
ราษฎรได้พากันอพยพหนีน้ำมาสู่ที่อยู่ใหม่ โดยทางนิคมลำน้ำน่าน จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นผู้จัดสรรพื้นที่ทำกิน
โดยวิธีการจับสลากครอบครัวละ 15 ไร่ ปัจจุบัน ตำบลหาดล้า จึงประกอบไปด้วยประชาชนหลากหลายหมู่บ้าน
หลายตำบลของอำเภอท่าปลาที่โยกย้ายมาอยู่รวมกันเป็นตำบลหาดล้าปัจจุบัน เมื่อแรกที่อพยพกันมาใหม่ๆ
นั้น คุณพ่อไม่รู้ว่าจะปลูกอะไรดี กล้วยและอ้อยที่นำมาปลูกก็ไม่ค่อยได้ผลมากนัก เนื่องจากน้ำท่าไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนที่เดิม
ประกอบกับหน้าแล้งก็แล้งจัด คุณพ่อจึงได้นำเมล็ดมะม่วงหิมพานต์เข้ามาปลูกเป็นรายแรกๆ
ของตำบลหาดล้าก็ว่าได้ แต่เนื่องจากสมัยนั้นชาวบ้านยังไม่ค่อยรู้จักและนิยมบริโภคมากนัก
การแกะเมล็ดก็ยุ่งยากทีเดียว เนื่องจากยังไม่มีเครื่องแกะเมล็ด แต่การปลูกและขยายพันธุ์ก็ดำเนินมาเรื่อยๆ
พร้อมๆ กับการปลูกพืชไร่อื่นๆ ควบคู่ไปด้วย
คุณวันทรา กล่าวเพิ่มเติมว่า ประมาณปี พ.ศ. 2549 เกิดน้ำป่าไหลบ่า ทำให้ภูเขาถล่มในพื้นที่ เกิดความเสียหายต่อพื้นที่การเกษตรมากมาย
ทางกองงานในพระองค์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เข้ามาสนับสนุนในด้านเงินทุนตลอดจนพันธุ์มะม่วงหิมพานต์และเครื่องมือที่ใช้ในการแปรรูปแบบครบวงจร
จึงทำให้มีการรวมกลุ่มของชาวบ้านในแถบใกล้เคียงปลูกขยายพันธุ์และแปรรูปมะม่วงหิมพานต์เพิ่มมากขึ้น
และเนื่องจากมะม่วงหิมพานต์เป็นพืชที่เลี้ยงง่าย โตเร็ว เมื่อเริ่มเข้าปีที่ 3 ของการปลูกก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว โดยจะออกผลในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม
ซึ่งเมื่อเกษตรกรเก็บเกี่ยวแล้วจะต้องนำผลที่ได้ไปตากแดด ประมาณ 2-3 วัน ให้แห้ง แล้วจึงจะนำมาส่งขาย ในราคากิโลกรัมละ 25-30 บาท จากนั้นก็จะนำเมล็ดที่ได้เข้าสู่กระบวนการแปรรูป โดยนำผลมะม่วงหิมพานต์ไปต้มในน้ำเดือดจัด
นาน 1 ชั่วโมง แล้วตักขึ้น ผึ่งทิ้งไว้ให้เย็น จากนั้นจึงนำผลที่ต้มแล้วไปกะเทาะเปลือก
ขั้นตอนนี้ต้องใช้แรงงานคนในการกะเทาะเปลือกออกทีละผล ซึ่งทางกลุ่มจะจ้างแรงงานชาวบ้านในชุมชนทำและให้ค่าจ้างตามผลผลิตที่แกะออกได้
ในอัตรา กิโลกรัมละ 13 บาท (ใน 1 วัน ต่อ
1 คน จะสามารถทำได้ ประมาณ 13-15 กิโลกรัม
ตามความชำนาญ) เมื่อกะเทาะเปลือกออกแล้ว ก็จะได้ออกมาเป็นเมล็ด
มะม่วงหิมพานต์ที่มีเยื่อหุ้ม
ต้องนำเมล็ดเหล่านั้นเข้าตู้อบแห้งอีกครั้งเพื่อไล่ความชื้นออก จากนั้นจึงนำไปแกะเยื่อหุ้มเมล็ดออกเป็นขั้นตอนสุดท้าย
ซึ่งขั้นตอนนี้จะใช้คนในชุมชนให้มารับเมล็ดมะม่วงหิมพานต์หรืออาจนำไปแกะเยื่อที่บ้านก็ได้
โดยให้ค่าจ้างเป็นกิโลกรัม แล้วแต่ตกลงกัน เมื่อแกะเสร็จก็จะได้ออกมาเป็นเมล็ดมะม่วงหิมพานต์
ที่เรียกว่า "เมล็ดขาว" เมล็ดขาวเหล่านี้จะถูกส่งมาเพื่อคัดขนาดอีกครั้งหนึ่ง
ก่อนจะส่งจำหน่ายต่อไป ปัจจุบัน ทางกลุ่มยังได้แปรรูปในลักษณะการปรุงรส อบหรือทอดจำหน่าย
ด้วยเป็นการเพิ่มมูลค่า เมล็ดมะม่วงหิมพานต์สามารถคัดเกรดคุณภาพได้เป็น 5 ประเภทด้วยกัน คือ ขนาดใหญ่ ราคา 240 บาท ต่อกิโลกรัม
ขนาดกลาง ราคา 200 บาท ต่อกิโลกรัม ขนาดเล็ก ราคา 170 บาท ต่อกิโลกรัม เมล็ดครึ่งซีก ราคา 160 บาท ต่อกิโลกรัม
และเมล็ดป่น ราคา 20-30 บาท ต่อกิโลกรัม (เมล็ดป่นนำไปโรยหน้าเค้กและทำเบเกอรี่)
โดยเมล็ดดิบ ปริมาณ 4.5 กิโลกรัม เมื่อแปรรูปแล้วจะได้ออกมาเป็นเมล็ดมะม่วงหิมพานต์
1 กิโลกรัม
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
เสด็จพระราชดำเนินไปทรงทอดพระเนตร
การดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชน กลุ่มส่งเสริมอาชีพบ้านหาดไก่ต้อย
เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2559
มะม่วงหิมพานต์ที่ปลูกอยู่ทั่วโลกมีไม่ต่ำกว่า 400 พันธุ์ แต่พันธุ์ที่ปลูกเป็นการค้าในปัจจุบันมีไม่มากนัก ซึ่งได้จากการคัดเลือกพันธุ์พื้นเมืองที่มีลักษณะดีตรงตามความต้องการ
สำหรับประเทศไทยในปัจจุบัน กรมวิชาการเกษตรได้คัดเลือก และได้ผ่านการรับรองพันธุ์แล้ว
จำนวน 2-3 พันธุ์ คือ พันธุ์ศรีสะเกษ 60-1 และศรีสะเกษ 60-2 นอกจากพันธุ์ที่กล่าวมาแล้ว ยังมี
พันธุ์ศิริชัย 25 ซึ่ง เกษตรกรบางรายอาจคัดเลือกพันธุ์ดีจากแหล่งต่างๆ
มาปลูกเองก็ได้
ปัจจุบัน ทางกลุ่มประสบปัญหาการแย่งซื้อผลผลิตจากโรงงานแปรรูปมะม่วงหิมพานต์
จากจังหวัดน่าน ซึ่งมีโรงงานเกือบ 20 แห่ง
กลุ่มจึงมีความจำเป็นต้องบริหารจัดการผลผลิต เช่น รับซื้อเพื่อเก็บสินค้าคงคลังไว้
มาตรฐานรางวัลที่ได้รับ: รางวัลสินค้าโอทอป 5 ดาว ประจำจังหวัดอุตรดิตถ์
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
วิสาหกิจชุมชนกลุ่มส่งเสริมอาชีพบ้านหาดไก่ต้อย
89 หมู่ที่ 3 ตำบลหาดล้า อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์
53150
ติดต่อ
: คุณวันทรา ผ่านคำ ประธานกลุ่มฯ
โทร
: 0-8996-01388 / 0-86931-4924
******************************************
ติดตามข้อมูล SME เกษตร
ธ.ก.ส. เพิ่มเติมได้ที่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น