ผลิตยางแผ่นรมควัน GMP ด้วยตู้รมควันไฮเทค



"วิสาหกิจชุมชนกลุ่มฐานเกษตรยางพารา" ตำบลดงอีจาน อำเภอโนนสุวรรณ จังหวัดบุรีรัมย์ ได้รางวัลมากมายนับสิบรายการ ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่บ่งบอกถึงความสำเร็จของ วันนี้  นอกจากงานหลักแล้ว กลุ่มยังต้องทำหน้าที่ต้อนรับขับสู้นักลงทุน ข้าราชการ และเกษตรกรจากต่างถิ่นที่ให้ความสนใจแวะเวียนมาดูงานไม่ขาดสาย

"ธนากร จีนกลาง" ประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มฐานเกษตรยางพารา เล่าว่า ในอดีตพื้นที่อำเภอโนนสุวรรณ คือ แหล่งปลูกมันสำปะหลัง และพืชล้มลุกต่าง ๆ ต้องตัดต้นไม้ทิ้งเพื่อเพิ่มผลผลิตจนต้นไม้ใหญ่หดหาย ดินเสื่อมโทรม ผลกระทบที่ตามมา คือ สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ช่วงปี 2529-2532 ผืนดินเริ่มแห้งแล้ง เป็นที่มาของโครงการอีสานเขียว และพื้นที่โนนสุวรรณเป็นอีกแห่งที่ได้รับเลือกให้อยู่ในโครงการ กำหนดให้เป็นพื้นที่ปลูกยางพาราโดยรัฐบาลสนับสนุนพันธุ์ยางพาราและปุ๋ย
  


ธนากรชี้ว่า ในอดีตชาวบ้านในพื้นที่โนนสุวรรณอยู่แบบตามมีตามเกิด คนแก่คนเฒ่าอยู่แบบไม่มีความหวัง คนหนุ่มสาวทำงานในกรุงเทพฯแล้วปล่อยให้คนแก่เลี้ยงหลาน จึงคิดว่าทำอย่างไรจะช่วยกลุ่มนี้ได้ ซึ่งหลังจากที่ได้ตระเวนอบรมตามที่ต่าง ๆ ก็ได้ข้อสรุปว่ายางพารา คือ พืชที่จะช่วยให้มีรายได้เพิ่มขึ้นมาจุนเจือครอบครัว

วิสาหกิจชุมชนกลุ่มฐานเกษตรยางพารา จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อรวมกลุ่มกันผลิตน้ำยางสด และมุ่งสู่การแปรรูปยางคุณภาพ ด้วยสมาชิกเพียง 30 คน เงินทุน 1.2 ล้านบาท จากการระดมหุ้นและกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยนำไปลงทุนซื้ออุปกรณ์ เครื่องจักรต่าง ๆ และพัฒนาเรื่อยมากระทั่งชาวบ้านเริ่มเห็นความเป็นไปได้ ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งสิ้น 210 คน จาก 13 หมู่บ้าน มีเงินหมุนเวียนเพิ่มขึ้นเป็น 10 ล้านบาทแล้วจากจุดเริ่มต้นที่ไม่มีอะไรเลย

"สิ่งเหล่านี้อย่างน้อยก็ทำให้สังคมเหลื่อมล้ำน้อยลง ทุกวันนี้เกษตรกรมีรายได้ทุก 15 วัน เมื่อเราปลูกยางไปถึง 30 ปี ก็สามารถที่จะตัดต้นขายได้ ถือเป็นสวัสดิการ กลายเป็นบำเหน็จบำนาญ แม้แต่ข้าราชการก็หันมาทำสวนยาง ขณะที่สภาพแวดล้อมก็ดีขึ้นตามลำดับ ระบบนิเวศกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง"


รวมตัวสร้างความเข้มแข็งยืนได้ "การรวมตัวกัน ทำให้เรามีอำนาจต่อรองค่อนข้างสูง และประหยัดต้นทุนการผลิตได้ด้วย" ธนากรกล่าวพร้อมทั้งขยายความว่า ข้อแรก เราสามารถกำหนดคุณภาพได้ ข้อสองคือมีอำนาจการต่อรองกับพ่อค้ายางมากขึ้น
   
ปัญหาใหญ่ของชาวสวนยางในภาคอีสานก็คือ ยังไม่มีการแปรรูปยาง ส่วนใหญ่จะขายน้ำยางสดและยางก้อนถ้วย จึงถูกกดราคามาตลอด ซึ่งกลุ่มฐานเกษตรยางพารา ได้รวมตัวกันรับซื้อน้ำยางสดมาแปรรูปเป็นยางแผ่นรมควัน เพื่อเพิ่มมูลค่า พร้อมทั้งลงทุนสร้างโรงรมควันขึ้นมาเอง โดยทุกวันนี้กลุ่มรับซื้อน้ำยางสดได้สูงสุดวันละ 15 ตัน ผลิตยางแผ่นรมควันได้วันละ 3-4 ตัน


อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมา สถานการณ์ราคายางพาราผันผวน ตกต่ำลงมาเรื่อย ๆ จึงพยายามพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสหาวิธีการแปรรูปใหม่ ๆ ซึ่งก็พบว่าตลาดประเทศจีนมีความต้องการยางเครปมากขึ้น แต่ยังมีผู้ผลิตน้อยราย เพราะวิธีการผลิตยางเครป แบบแผ่นบาง จะต้องมีองค์ความรู้และลงทุนซื้อเครื่องจักร

ปัจจุบันกลุ่มฐานเกษตรยางพาราสามารถผลิต"ยางเครปรมควัน"คุณภาพดีได้แล้วโดยได้ร่วมกับ อาจารย์วันไชย ไชยสงคราม พัฒนาและประดิษฐ์ "ตู้อบรมควันไฮเทค" ซึ่งตู้รมควันไฮเทคนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศนวัตกรรม โดยสามารถย่นเวลาการรมควันทั้งยางแผ่นและยางเครปจาก 4-5 วัน เหลือเพียง 24-36 ชั่วโมงเท่านั้น
         ตู้อบรมควันไฮเทคนี้ นอกจากทำให้ยางพาราไม่ขึ้นรา ไม่พอง และเสียรูปทรงแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนการผลิตลงได้มาก จากเดิมต้นทุนอยู่ที่ 75-80 สตางค์/กิโลกรัม เหลือเพียง 16-31 สตางค์/กิโลกรัม เท่านั้น โดยเฉพาะลดการใช้ไม้ฟืนลงได้มาก ตอนนี้สามารถผลิตยางเครปได้เดือนละ 30 ตัน



ตู้อบรมควันไฮเทค คว้ารางวัลชนะเลิศ ผลงานนวัตกรรม ธ.ก.ส. ระดับประเทศ ประจำปี 2558 มาครองแล้ว ซึ่งนับว่าเป็นตู้แรกของประเทศไทย กระบวนการทำงาน คือ ดูดความร้อนเข้ามาในห้อง ให้ความชื้นแตกออก แล้วดูดกลับไปชนกับตัวดูดความชื้น น้ำก็จะไหลออกให้แห้งเร็วขึ้น เป็นยางเครปแห้ง 100% ผลพลอยได้อีกอย่างก็คือ น้ำส้มควันไม้ ซึ่งตอนนี้กำลังทดลองนำมาใช้ในการปลูกผัก/ผลไม้ปลอดสารพิษ เจริญเติบโตดีมาก

ธนากรบอกว่า การพัฒนาและปรับตัวต้องตามให้ทันสถานการณ์ ซึ่งการทำยางเครปสร้างมูลค่า ขณะนี้เป็นที่ยอมรับของนักวิชาการแล้วด้วยมาตรฐานยางขนาด 3 มิลลิเมตร สะอาด และมีคุณภาพ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับยางได้ ที่สำคัญแม้วันนี้ราคายางจะตกต่ำ แต่เมื่อเทียบกับพืชชนิดอื่นแล้วยางพารายังถือว่าดีกว่า แต่ปัญหาคือราคาที่ลดลงเร็วมากจนเกษตรกรปรับตัวไม่ทัน เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นหนี้ ธ.ก.ส. ซึ่งกลุ่มได้เข้าไปช่วยเหลือสมาชิกเพื่อให้ก้าวข้ามวิกฤตนี้ไปก่อน โดยทางคณะกรรมการมีมติให้สมาชิกกู้เงินไม่คิดดอกเบี้ย เพื่อนำไปส่งเงินกู้ ธ.ก.ส. และในระหว่างนี้ก็ปรับตัวน้อมนำแนวพระราชดำริของพระเจ้าอยู่หัวเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ด้วย


ล่าสุดนี้ กลุ่มได้เตรียมทำเกษตรหลายชนิด เพื่อประกันความเสี่ยงราคายางที่ยังผันผวน เบื้องต้นกำลังลงทุนปลูกกล้วยหอม และฝรั่งกิมจู พร้อมทั้งได้นำน้ำส้มควันไม้จากตู้อบรมควันไฮเทคมาใช้ เพื่อให้เป็นเกษตรอินทรีย์จริงๆ ซึ่งความโชคดีของพื้นที่โนนสุวรรณ คือเป็นดินภูเขาไฟที่มีแร่ธาตุสมบูรณ์ ทำให้ผลไม้มีรสชาติดี พิสูจน์จากผลไม้ทุกชนิดที่ผลิตออกมาเป็นที่ต้องการของตลาดทุกตัว ซึ่งคุณธนากรมองว่า การรวมกลุ่มกันในรูปแบบ
"วิสาหกิจชุมชน" เหมาะกับเกษตรกรรากหญ้า เพราะเป็นกิจการขนาดเล็กของชุมชน และสอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทย ซึ่งเราสามารถที่จะพัฒนาจากวิสาหกิจเล็ก ๆ ไปเป็นบริษัทใหญ่ได้ ทุกวันนี้มีคนมาดูงานทุกสัปดาห์ แต่ละคนก็มีมุมมองแตกต่างกัน หลายคนบอกว่าทำไม่ได้ ไม่มีเงิน ซึ่งเราได้บอกว่าเราก็เริ่มจากไม่มีเช่นกัน


"คนมาดูงานเรา เราไม่ต้องการให้เขาเอาตัวอย่างแบบเรา แต่ให้ไปคิดว่าอยู่ที่บ้านคุณมีอะไรที่สามารถคิดพลิกแพลงได้ แม้แต่เลี้ยงไข่มดแดงมันก็ไปได้ เริ่มจากจุดเล็ก ๆ แล้วพัฒนาต่อ เราทำไปก่อน เดี๋ยวดีคนก็มาเอง อย่างน้อยเราถือว่าไปกระตุ้นให้เขาคิดว่าเรายังทำได้ และบริหารจัดการด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน" ชัดเจนว่าวันนี้ความพากเพียรได้ออกดอกผลแล้ว เป็นความภาคภูมิใจของกลุ่มเกษตรกรตัวเล็ก ๆ ที่ได้พิสูจน์ว่าการรวมตัวอย่างเข้มแข็ง และเดินในทิศทางที่ชัดเจนวันหนึ่งต้องสัมฤทธิผล  ดูได้จากรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของชาวบ้านโนนสุวรรณแห่งนี้

สนใจติดต่อสอบถามหรือขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
คุณธนากร จีนกลาง
วิสาหกิจชุมชนกลุ่มฐานเกษตรยางพารา ตั้งอยู่ใน ต.ดงอีจาน อ.โนนสุวรรณ จ.บุรีรัมย์
โทรศัพท์ 0818791186

**********************************
ติดตามข้อมูล SME เกษตร ธ.ก.ส. เพิ่มเติมได้ที่
เฟสบุคแฟนเพจ  “SMAEs CLUB”  URL: https://m.facebook.com/smaesbaac/
เว็บไซต์ URL: https://smaesclub.com/

ความคิดเห็น